ตอนที่ 2.1 โอเวอร์โดสค่ะ 1
KingZer
Get by Url
Get Detail by Url
Notification
Setting
Get By URL
Link
https://www.nekopost.net/novel/12880/2.1
Solved Puzzle NovelZa
Title
死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ โอเวอร์โดสค่ะ 1
Content
บทที่ 2.1 โอเวอร์โดสค่ะ (1)
[แฮ่ก แฮ่ก ฮ่า…]
เด็กสาวผมทองคนหนึ่งกำลังยืนเหงื่อกายไหลริน หายใจหอบแรงอยู่กลางจตุรัส
การต่อสู้ที่เริ่มต้นเมื่อชั่วโมงก่อนนั้นเป็นชัยชนะตกเป็นของเด็กสาว
เพียงแต่เรื่องผลแพ้ชนะนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง เพราะตอนนี้สถานที่รอบ ๆ นั้นมีแต่ควันลอยเต็มไปหมด หนำซ้ำท้องฟ้ายังถูกย้อมไปด้วยสีแดงอีกแล้ว
สายไปเสียแล้ว
ผู้คนวิ่งหนีด้วยความสับสนพร้อมกับกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับเป็นจุดจบของโลก
ส่วนเธอนั้นกำลังมองโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากบนที่สูง
เลือดไหลออกมาไม่หยุด มือสัมผัสจับหัวใจไว้ด้วยความนุ่มนวล
วิวทิวทัศน์ ณ ตรงนี้นั้นเคยสวยงาม เธอนั้นรู้ดีจากที่เฝ้ามองมาโดยตลอด
และนี่คือสถานการณ์ตอนนี้นี่เอง
เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างไม่ตั้งใจ
ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง จึงหันหลังกลับไป
ที่ตรงนั้นมีผู้ชายผมยาวสีเทาที่เลือดกำลังไหลออกจากปาก ทำสีหน้าโศกเศร้าอย่างบิดเบี้ยวและใช้แรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตในการชี้นิ้วมาที่เธอ
ราวกับกำลังร่ายคำสาปอะไรบางอย่าง
[อาจารย์…ทำถึงขนาดนี้นเลย…ทำไม…]
ชายคนนั้น เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเงียบ ๆ
เมืองที่มอดไหม้จนหมดสิ้นไปนั้น ไม่อาจกลับคืนมาได้อีกแล้ว
วงแหวนเวทที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้น มลายหายไปเมื่อหมดหน้าที่ลง
วันแห่งจุดจบได้มาถึง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นวันแห่งการเริ่มต้นเช่นกัน ภาพเหตุการณ์ในครานี้จะไม่มีทางลืมเลือนไปอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พันปีก็ตามก็จะถูกสลักไว้ในใจดั่งแผลที่ไม่มีวันหาย นั่นคือภารกิจของตน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจะที่ไกล ๆ
ทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวย้อนกลับไปราวกับดาวตก ภาพที่เห็นค่อย ๆ บิดเบี้ยว
เกิดความรู้สึกเหมือนกับร่างกายกำลังลอยไป และพลันดับมืดลง
[ตื่—สัก…ที นี่–]
เสียงที่หูได้สัมผัสคือเสียงของผู้ชาย ต่อมาก็รับรู้ถึงความสั่นไหวบนไหล่จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ภาพเมืองที่เคยเห็นได้หายไป เป็นแค่เพียงกำแพงรถม้าแสนสกปรกเท่านั้น
แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกตัวว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเป็นเพียงความฝัน
[นี่ ตื่นได้แล้ว]
ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกจากด้านข้างและถูกเขย่าไหล่อีกครั้ง
ชานอนลุกขึ้นมาขยี้ตา จากนั้นก็จับศอกขวาของตัวเองแล้วยืดออก
[งืม…หาว นี่ฉันหลับไปเหรอเนี่ย?]
เสียงง่วงหงาวหาวนอนออกมาตามธรรมชาติ
[อาจจะไม่ใช่ก็ได้มั้ง]
ผู้ชายคนนั้นพูดจาห้วน ๆ ใส่
ดูท่าจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
[แต่ใจกล้านักนะ พวกข้าอยู่กันขนาดนี้ยังมีหน้ามานอนหลับสบายใจเฉิบไร้การป้องกันอีกเนี่ย จริง ๆ เลย ถ้านอนหลับสบาย ๆ แบบนั้นได้บ้างก็คงจะดี]
ผู้ชายคนนั้นกำลังบ่นอะไรสักอย่างด้วยความไม่พอใจ
[เดี๋ยวจะถึงแล้ว เอลดอร์น่ะ]
[เอลดอร์…อ๊ะจริงด้วย ฉันกำลังจะไปที่เอลดอร์นี่เอง]
[เฮ้ย ๆ ให้มันน้อย ๆ หน่อยเหอะ! เธอเป็นคนบอกเองนะว่าจะไปเลยไปส่งเนี่ย!?]
ผู้ชายคนนั้นกางแขนออกแล้วบ่นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง
ทว่า
[เอ๊~ เข้าใจอะไรผิดปะเนี่ย? พวกนายเป็นโจรกันนี่ ความจริงต้องโดนอัศวินลากตัวไปแล้วไม่ใช่หรือไง? คนช่วยมองข้ามให้มันฉันนะ]
[อุ๊ก! นะ นั่นมันก็…]
เมื่อเลิกคิ้วขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็กัดฟันด้วยความเจ็บใจ
ถือว่าคนพวกนี้โชคดีที่เข้ามาโจมตีชานอน
คนพวกนี้เห็นชานอนกำลังเดินทางไปเอลดอร์อย่างสบายใจเฉิบอยู่จึงเลือกที่จะโจมตี
เพียงแต่ก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ของที่ขโมยมาก็โดนริบจนหมด แถมยังโดนสั่งให้พาไปเอลดอร์ด้วย
[มะ มันก็ จะไปรู้ได้ไงว่าจอมเวทจะมีเดินเตร็ดเตร่สบาย ๆ บนถนนแบบนีเเล่า! ดูยังไงเธอก็เป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอนี่หว่า!]
[ก็ใช่นี่ ฉันเป็นสาวน้อยอ่อนแอนะ? เอาไง จะให้ใช้แรงแทนคำพูดอีกดีไหม?]
ชานอนเผยรอยยิ้มแสยะออกมาทำให้ผู้ชายสั่นสะท้านไปทั้งตัว
[ใครจะไปยอมเล่า! พวกข้ามีแต่คนบาดเจ็บนะเว้ย! อีกไม่นานจะถึงเอลดอร์แล้วเพราะฉะนั้นโปรดนั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ ได้เลยครับ!!]
[วั๊ย ใจดีจัง~!]
ชานอนเอามือประสานกันแล้วโยกตัวไปมาซ้ายขวา
พอเห็นท่าทางนั้นแล้วก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้าผิดหวัง
ข้างนอกพระอาทิตย์กำลังตกดิน สูงเหนือขอบฟ้าไป พระอาทิตย์กำลังลุกไหม้แดงฉาน
เพียงแต่สีแดงในตอนนี้ต่างกับในความฝันนั้นเป็นอย่างมาก
จากนั้นไม่นานรถม้าก็ผ่านประตูปราสาทเข้าไป วินาทีนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงคึกครื้นจากรอบ ๆ
[ว้าว~ งานเทศกาลนี่!]
ชานนอนโยกตัวออกจากรถม้าแล้วมองดูด้วยแววตาเปล่งประกาย
แผงลอยมากมายเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ผู้คนหลากหลายสัญจรไปมาพร้อมกับอาหารในมือด้วยท่าทางกำลังสนุกสนาน
นอกจากนี้ยังมีนักกวีและนักดนตรีมารวมตัวกันอีกด้วย เสียงบทเพลงอันรื่นเริงกำลังไหลผ่านผู้คนจำนวนมากไป
แสงไฟที่ถูกตกแต่งแต้มอยู่ตามถนนกำลังมองความสว่างไสวให้กับเมือง
[เทศกาลเก็บเกี่ยวของเอลดอร์น่ะ เป็นเทศกาลใหญ่ต่อที่กินเวลาถึงเจ็ดวัน ไม่รู้จักหรือไง?]
[จะว่าไปก็มีอะไรแบบนั้นอยู่นี่นะ แต่ร่าเริงกันจริงเลยน้า เอลดอร์เนี่ยยังเป็นเมืองที่ชวนให้ใจฟูเหมือนเดิมเลย]
[ฮ่า ๆ ดูท่าทางจะสนุกนะ เพราะแบบนั้นพวกข้าถึงได้มีงาน…โอ๊ะ ส่งถึงตรงนี้ละกันนะ]
พอให้สัญญาณรถม้าก็ค่อย ๆ หยุดลงบริเวณโรงแรมของเมือง
[ถึงแล้วนะ แม่หนูจอมเวท]
[อื้ม ขอบคุณนะ]
[ไม่เห้นต้องขอบคุณ รีบไปได้แล้ว อยู่กับแม่มดแบบนี้มีหวังพวกข้าโดนด่าตาย]
[ตายจริง งานโจรเนี่ยคงสนุกดีสิเนอะ งั้นไว้เจอกันน้า เลิกทำงานชั่ว ๆ เท่าที่ทำได้จะดีกว่านะ]
[คิดว่าพูดกับใครอยู่กัน…แต่ก็นะ จะระวังเวลาเล็งเด็กผู้หญิงแล้วกัน]
พอพูดจบรถม้าก็เลี้ยวกลับไปทางเดิม
ชานอนโบกมือให้ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมา
[ดีละ เอาไงต่อดีนะ เริ่มจากหาที่พักก่อนแล้วกัน]
ตอนนี้จุดที่ชานอนอยู่คือย่านโรงแรม
ไม่ได้กลับมาเมืองใหญ่นานมากแล้ว หนำซ้ำงานเทศกาลยังทำให้คนเยอะอีกด้วย
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นักเดินทางอาจจะดูเด่น ผู้คนเลยพยายามเข้ามาพูดคุย แต่ในเมืองนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น มากที่สุดก็มองเสื้อคลุมหรือคฑาอย่างสนใจเท่านั้น ไม่ถึงว่าจะเข้ามาคุยด้วย
ผู้คนขวักไขว่สัญจรไปมา นักเดินทางก็มีเป็นปกติ ดังนั้นการจะมาสนใจนักเดินทางคนเเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ถ้าเป็นอาชญากรก็เป็นอีกเรื่องนึง
ชานอนยังคงเดินเท้าต่อไปบนถนนอิฐเพื่อตามหาโรงแรมดี ๆ
แม้จะระหว่างเดินทางกลางแจ้งจะอาบน้ำเป็นประจำ เครื่องอาบน้ำอย่างสบู่ก็มีเพียบแถมยังมั่นใจว่าเนื้อตัวสะอาดสะอ้านดีก็จริง แต่การใช้ชีวิตกลางแจ้งก็ยังทำให้สกปรกง่ายอยู่ดี
พอลองทดสอบโดยการจับเสื้อคลุมมาดมดูแล้ว กลิ่นที่ชวนให้อธิบายไม่ได้ก็ล่องลอยออกมา
[อุแหวะ…ว่าแล้วเชียวว่าเด็กสาวอย่างเราต้องทำความสะอาดทั้งกายและใจในที่พักเหมือนคนปกติจริง ๆ แฮะ]
การจะหาโรงแรมขนาดเล็กจำเป็นต้องมองหาสามอย่าง
ประการแรก ต้องเป็นห้องเดียว ประการที่สอง เตียงนอนต้องสะอาดและประการที่สามคือราคาต้องสมเหตุสมผล
และสิ่งหนึ่งที่ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ นั่นคือตอนนี้ชานอนถังแตก
ช่วงหลังมานี้เวลาเดินทางก็ไปตามหมู่บ้านตลอดเลยไม่ได้ทำงานอะไรมาสักพักแล้ว เรื่องสร้างเงินสร้างทองเลยถูกพักไปเลย
แต่เพราะเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ เช่นนี้ก็ทำให้ไม่มีโอกาสต้องใช้เงินเช่นกัน
ดังนั้นจะคาดหวังที่พักราคาแพงไม่ได้ ถ้าจะพักอยู่นาน ๆ จะไม่ทำงานคงไม่ได้ แต่ถ้าจะหาที่พักไม่ได้ก็จะเริ่มทำงานไม่ได้เช่นกัน
วันแรกก็เลือกที่นอนเอาสบายก่อน พอหาเงินได้แล้วก็ลดระดับลงมาให้เหมาะแล้วกัน
[อื้อ ทำแบบนั้นกันเถอะ…! วันนี้จะพักให้เต็มทีเล๊ย! เรื่องของพรุ่งนี้ก็ให้ชานอนจังในวันพรุ่งนี้จัดการเถอะ]
หลังเดินต่อไปสักพัก ชานอนก็พบกับโรงแรมที่น่าใช้การได้แล้ว
เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในตรอกซอกซอยที่คนไม่ค่อยผ่านไปผ่านมา
สมกับเป็นงานเทศกาลขนาดอยู่ลึกแบบนี้ยังเหลือแค่ห้องเดียว
ชานอนหยิบเหรียญจำนวนหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุมออกมาจ่ายค่าที่พักสำหรับสองวัน
นี่คือการหวังน้ำบ่อหน้า ถ้าหางานไม่ได้ภายในวันนี้หรือมะรืนนี้ก็แปลว่าต้องออกจากเมืองนี้ไปทันที
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กังวลขนาดนั้น
การเป็นจอมเวททำให้ไม่มีปัญหาในการหางานเท่าไหร่ เพราะเป็นงานเฉพาะทางและทางใครแทนไม่ได้
ถ้าไปดูกระดานรับสมัครงานหรือองค์กรจัดหางานก็จะหางานได้ทันที
เป็นไปได้ว่าในเมืองนี้อาจจะมีจอมเวทอยู่สักคน ดังนั้นหากจวนตัวจริง ๆ ก็คงจะพอขอความช่วยเหลือได้ น่าจะพอได้เงินกลับมาบ้าง
เมื่อชานอนเข้าห้องมาสิ่งแรกที่ทำคือโยนกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงเตียง
เตียงมีการตอบสนองเด้งกลับมา จากนั้นไม่นานร่างกายก็ค่อย ๆ ดำดิ่งลงไป
ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ดีกว่าพื้นดินหรือพื้นไม้หลายเท่าตัวเลย
[อื้ม~~~~! ดีจังน้า~!! เยี่ยมที่สุด!]
ชานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเพื่อตามหาจุดที่นอนสบายที่สุด
พลิกตัวนอนหงาย ถอดเสื้อคลุม เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้นออก
[พรุ่งนี้…พรุ่งนี้ก็เต็มที่กันเลย วันนี้ขอนอนก่อน…]
จากนั้นชานอนก็ผล็อยหลับไปหลังจากเริ่มเข้านอนไม่นาน
การสำรวจเมืองจะเริ่มต้นพรุ่งนี้
****
เช้าวันถัดมา
[ฟู่ฟู่…อย่างหย่อย!!]
ชานอนยกนิ้วให้และพยายามจะบอกกล่าวให้เจ้าของร้านฟังว่าอร่อยแค่ไหน
ไข่ดาวร้อน ๆ กับเบคอน แถมยังมีขนมปังที่อบเสร็จใหม่ ๆ ถึงจะเป็นอาหารธรรมดาแต่คนส่วนใหญ่ก็เลือกขนมปังเป็นอาหารเช้ากัน
ที่นี่คือร้านเหล้าที่ติดอยู่กับถนนสายหลัก เป็นร้านที่คนมักจะเลือกมากินข้าวเช้าแล้วออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
มือขวาถือขนมปังส่วนมือซ้ายถือแผนที่ที่เจ้าของร้านให้มา
เอาละ ไปสมัครงานที่ไหนดีนะ ถ้ามีกระดานรับสมัครงานก็คงจะดีแต่
[สาวน้อย เป็นจอมเวทเหรอ?]
ลุงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมองข้ามหนังสือพิมพ์แล้วหันมาคุยทางนี้
อายุน่าจะประมาณหกสิบปีได้ ผมสีขาวหงอกสลับเทาไปทั้งหัวแล้วแต่ยังถือว่าดูดีอยู่
[หือ? อื้ม ใช่แล้วละ]
ชานอนตอบไปพลางเคี้ยวขนมปังไปด้วย
[ก็ว่าอยู่เนี่ย]
ลุงคนนั้นหรี่ตาแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
[ไม่ได้เห็นคนใส่เสื้อคลุมมานานแล้วน่ะนะ]
[น่ารักใช่ม้า]
จากนั้นก็จับปลายเสื้อคลุมแล้วสะบัดไปมา
[ดีสิ วิเศษที่สุดเลย เด็กสาวกับเสื้อคลุมก็ยอดแล้ว! แต่ยังใส่กางเกงขาสั้นที่ชวนให้กระปรี้กระเปร่าอีก แถมยัง…]
ลุงคนนั้นจ้องมาที่ขาอย่างชัดเจน ไม่ได้เป็นชายแก่ธรรมดา ๆ เพราะจิตใจยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลย
แต่เอาจริงเมื่อเทียบกับชานอนแล้วก็เป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น
[แค่เห็นก็อยู่ได้อีกเป็นสิบปีแล้ว]
ลุงคนนั้นทำท่าทำทางเหมือนจะภาวนาอะไรบางอย่างอยู่
[โหย เกินไปมั้งนั่น? เผลอทำให้อายุยืนซะแล้วสิ]
[เรื่องจริงเซ่! อยากจะขอบคุณจริง ๆ เลย]
ลุงหัวเราะออกมาเบา ๆ
เอาเถอะ ถึงจะเป็นคนหื่นนิดหื่นหน่อยแต่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร ไม่ใช่ว่าจะคุยด้วยไม่ได้
[นี่คุณลุง ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?]
[อะไรเล่า? จะตอบให้เป็นการตอบแทนแล้วกัน]
[สำเร็จ คืองี้ ในเมืองมีจอมเวทอยู่หรือเปล่า? นอกจากฉันอะนะ]
ทันใดนั้นลุงคนนั้นก็ทำหน้าบูดบึ้งใส่
[ไอว่าจะมีมันก็มี แต่เป็นผู้ชายก็เลยไม่น่าสน แถมยังเป็นจอมเวทสายวิจัยด้วย ไม่ค่อยจะได้เจอหรอก]
[เห งี้นี่เอง สายวิจัยเหรอ…ไม่ค่อยจะมีซะด้วยสิ]
เหมือนจะมีจอมเวทปักหลักอยู่ในเมืองมากขึ้น
ในอดีตจะมีจอมเวทจำนวนหนึ่งตั้งใจศึกษาค้นคว้าเวทมนตร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่เพราะจอมเวทน้อยลงเวทมนตร์ก็น้อยลงไปด้วย และเพราะเหตุนั้นทำให้จอมเวทตัดสินใจหาที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งในเมืองมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นจอมเวทตอนนี้ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คือบางคนก็เดินทางไปกำจัดสัตว์เวทในฐานะนักเดินทางบ้าง ทำงานเบ็ดเตล็ดบ้าง ใช้เวทมนตร์ด้านการรักษาแล้วไปเป็นเภสัชกรเวทมนตร์บ้าง ทุกคนตามหาวิธีในการใช้ชีวิตใหม่กันหมด
[คุณลุงอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือเปล่า?]
[อา อยู่ที่เอลดอร์มาตลอดชีวิตนั่นแหละ แล้วเธอละ มางานเทศกาลหรือไง?]
[อืม แค่บังเอิญมาตรงช่วงพอดีน่ะ คนแน่นเลยเชียว]
หากมองออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ก็จะพบว่าผู้คนเดินกันแน่นขนัดไปหมด
[มันก็นะ รู้สึกเลยว่าเมืองนี้คนเยอะไปสักสิบเท่าได้ ข้าเองพอได้เห็นเทศกาลแบบนี้แล้วก็ใจชื้นจนอยากอยู่ต่อนี่ไม่เกินจริงเลย]
พอพูดจบลุงคนนั้นก็ลูบเคราตัวเอง
[ถ้าได้ขนาดนั้นงานเทศกาลนี่ก็เจ๋งเอาเรื่องนะ]
ถึงจะพอรู้จักชื่ออยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็เพิ่งจะเคยมางานเทศกาลของเอลดอร์เป็นครั้งแรกเลย
ถึงจะเดินทางมาแล้วหลายร้อยปีแต่ก็ใช่ว่าจะมาแล้วช่วงเวลาตรงกันแบบนี้ได้บ่อย ๆ เพราะโลกนี้มันกว้างใหญ่นัก
[อา…ปีนี้ก็ต้องไปดูประกวดสาวงามอีกแล้วนะ ถ้าได้เห็นสาวสวยอันดับหนึ่งของเอลดอร์ในปีนี้ก็คงยืดความตายไปได้อีก]
[หวา ละทางโลกไม่ได้เลยนี่ ทำตัวจริงจังบ้างก็ดีนะ]
[วะฮะฮ่า! คนที่ทำตัวจริงจังในงานเทศกาลก็มีแต่พวกบ้าเท่านั้นแหละ! เท่าที่ลุงดูแล้วรูปร่างก็ดีนี่ เอาไง ลองไปเข้าร่วม—]
[เอ๋- ถ้ามีเวลานะ]
[ฮ่า ๆ จะรอลุ้นนะ]
ลุงคนนั้นยิ้มกริ่มให้แล้วหันสายตากลับไปหาหนังสือพิมพ์ดังเดิม
[นี่ ๆ คือว่านะ ฉันกำลังหางานอยู่น่ะ คุณลุงพอจะรู้ไหมว่ามีใครรับสมัครหรือเปล่า]
[นั่นสิเน้อ ถ้าไปทางถนนโฮคิตหน้ากองอัศวินจะมีกระดานข่าวอยู่นะ เพราะที่นั่นเปิดให้แจ้งปัญหาแล้วก็ลงข้อมูลไว้ได้นะ บางทีอาจจะมีคุณลุงคนนึงมาให้งานก็ได้เน้อ]
[ถนนโฮคิต…เจอแล้ว!]
ชานอนมองแผนที่ตามคำบอกของลุงคนนั้น จากนั้นจึงเจอถนนที่ว่า
[ขอบคุณนะ จะลองไปดูหน่อย]
[ไม่ต้องคิดมาก ไม่ได้เจอจอมเวทสาวมานานแล้วแค่นี้คุ้มแล้วละเน้อ]
[อะฮ่า ๆ ชอบจริง ๆ สินะเนี่ย ขอให้มีชีวิตนาน ๆ นะ ไปก่อนน้าคุณลุง]
หลังพูดจบชานอนก็ออกจากร้านเหล้าและมุ่งหน้าไปตามหากระดานข่าว
ถนนโฮคิตนั้นตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมือง จำเป็นต้องผ่านย่านการค้าไป
สรุปก็กลายเป็นว่าต้องเข้าไปในงานเทศกาลที่ทำให้คนเยอะผิดปกติด้วย
[โหย~ คนเยอะสุดยอดเลยน้า]
ชานอนพยายามจะส่องจากมุมสูง จึงเขย่งเท้าแล้วมองไปรอบ ๆ
ที่เจอมีแต่หัวคนเต็มไปหมด
พอเห็นจำนวนคนขนาดนี้ก็เผลอส่งเสียงออกมาไม่โดยไม่ตั้งใจ
ตอนค่ำ ๆ ที่มาถึงเอลดอร์ก็รู้สึกว่าสุดยอดมากแล้ว แต่เทียบไม่ได้กับช่วงระหว่างวันแบบนี้เลย
เท่าที่รู้ก็คือ เทศกาลนี้จะจัดทั้งหมดเจ็ดวัน และวันนี้คือวันที่สามแล้ว หมายความว่าเทศกาลจะยังอยู่ไปอีกราว ๆ ห้าวัน
[อื้ม…อร่อย! เนื้อนี่ฉ่ำสุดยอดเลย!]
พอนำเนื้อสี่ชิ้นที่อยู่ในไม้รูดเข้าปากไป ก็รู้สึกประทับใจจากความฉ่ำของมัน
กลิ่นหอมของน่าอร่อยอบอวลเต็มไปหมด ดังนั้นการจะหิวถือว่าเป็นเรื่องไม่แปลก
การใช้ชีวิตยืนยาวแบบนี้นั้น การเฝ้ารอลุ้นของอร่อยในยุคสมัยต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องสุขสันตืเอาเสียมาก
ระหว่างที่ชานอนเคี้ยวหงึบหงับอยู่ในปากก็พยายามจะหาจุดสูง ๆ ขึ้นไปโดยไม่ฝืนกระแสของคน
พอปีนขึ้นมาบนหลังคาได้ก็พบว่าวิวทิวทัศน์ที่เห็นราวกับท้องฟ้าถูกตัดแบ่งเป็นสองฝั่ง
และต้นตอที่ทำให้รู้สึกว่าท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งนั้น คือหลังคายอดแหลมสูงที่คาดว่าเป็นตึกของกองอัศวิน
ตามที่ลุงคนนั้นได้บอกเอาไว้ที่หน้ากองอัศวินนั้นจะมีกระดานข่าวและการส่งคำร้องอยู่ คาดหวังไว้ว่าจะมีสักเรื่องนึงที่ไม่ผิดพลาด
หลังจากเดินไปเรื่อย ๆ พักนึงคนก็ค่อย ๆ ลดลงไปทีละนิดทีละหน่อย และถนนสายหลักก็จบลงหลังผ่านซุ้มประตูไป
ในที่สุดก็มองเห็นรอบ ๆ ได้ เท่านี้ก็จะสามารถเดินสบาย ๆ ได้แล้ว—
[ฮี้ย๊าาา!]
ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากซอยข้าง ๆ
[หือ? เสียงร้อง?]
ราวกับเสียงร้องขอชีวิต กลางเมืองแบบนี้น่ะเหรอ? ระหว่างที่คิดไปชานอนก็เคี้ยวเนื้อไปพลางเดินเข้าไปสำรวจในซอยด้วย
พอเข้าไปก็พบว่าเป็นซอยสลัว ๆ ที่มีกล่องไม้และขวดเปล่าเรียงรายเต็มไปหมด สภาวะอากาศก็ย่ำแย่ยิ่งว่าในถนนหลักเยอะด้วย
พอมองเข้าไปตรงมุมสุดของซอยแล้ว ก็จะพบกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่และผู้ชายผมสีน้ำเงินอีกคนนึงกำลังคุกเข่า
[ขะ ขอโทษจริง ๆ ครับ…ขอโทษครับ!]
ผู้ชายผมสีน้ำเงินทำหน้าทำตาเหมือนกับจะร้องไห้ เอามือวางไว้ด้านหน้าของตัวเองพร้อมกับน้ำมูกไหลอีกด้วย
คิดว่าตอนนี้คงไม่ใช่สถานการณ์ปกติสักเท่าไหร่
ชานอนเดินเข้ามาดูด้วยความสนใจและนึกสนุกเท่านั้น
ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ดันแว่นของตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
[คืองี้นะคุณหมอ ผมต้องการแค่เงินคืนเท่านั้นเองนะครับ เลยกำหนดมานานแล้วด้วยนี่ครับ]
[คะ คือว่านะครับ คือ เงินมันหมุน…]
[นั่นมันความรับผิดชอบของคนยืมถูกต้องไหมครับ?]
ชายสวมแว่นยังคงพูดต่ออย่างไม่สนใจใด ๆ
ท่าทางเป็นสุภาพบุรษมากเพียงแต่สัมผัสได้ถึงความโกรธในน้ำเสียง
[อะฮะฮ่า…กะ ก็จริงอยู่นะครับแต่สถานการณ์ตอนนี้—]
จังหวะนั้นชายสวมแว่นก็เตะกล่องไม้กระเด็นไปข้าง ๆ ชายผมน้ำเงิน
เมื่อได้ยินเสียงอันรุนแรงนั้นชายผมน้ำเงินก็เผลอตัวสะดุ้ง
[พวกเราน่ะเห็นว่ายาที่อาจารย์ทำมันน่าจะมีประสิทธิภาพก็เลยให้ยืมเงินไปนะครับ แต่ว่า…นี่ก็ครึ่งปีแล้วนะ ที่นำเสนออกมาอย่างกระตือรือร้อนนั่นคือโกหกหรือไงครับ?]
[มะ ไม่ ไม่ได้คิดจะโกหก…]
[ถ้าหาเงินคืนมาไม่ได้ก็เอาอะไรมาแลกสิครับ พวกเราไม่ได้ทำการกุศลสักหน่อย]
ชายสวมแว่นจับคอเสื้อของชายผมน้ำเงินแล้วดึงเข้ามาหาตัว
[อุก]
จากนั้นก็หยิบมีดออกมาจากที่คาดเอวแล้วจ่อไปที่คอเหมือนกับเคยชิน
[ฮิ ฮี๊! ยกโทษให้ด้วยเถอะอะไรก็จะทำครับ!]
[งั้นก็คืนเงินมาไม่ดีกว่าเหอรครับ?]
[ตะ ตอนนี้ไม่มีเงินจริง ๆ นะ! ชะ ใช้ไปไปกับค่าวัตถุดิบหมดแล้ว…! ขะ ขอเวลาอีกสักหน่อยเถอะครับ!]
พอเห็นท่าทางสิ้นหวังนั้นแล้ว ชายสวมแว่นก็ยิ้มให้
จากนั้นชายผมน้ำเงินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
[ว่าแล้วว่าฆ่าให้ตายเลยดีกว่าครับ]
[อย่าพูดแบบทั้ง ๆ ที่ยิ้มเซ่! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!]
แต่ว่าชายสวมแว่นคนนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที และยังคงถือมีดไว้แบบนั้น
[งั้นก็ ลาก่อน]
[ดะ เดี๋ย–]
[หยุดก่อนจ้า!! หยุดก่อน!]
ชานอนส่งเสียงแล้วพุ่งไปอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน จากนั้นก็จับมือทั้งสองไว้
จู่ ๆ เด็กสาวก็ปรากฎตัวออกมา ทำให้ชายทั้งสองอึ้งค้างไป
[เอ๊ะ..?]
[ใครงั้นเหรอครับ?]
ชายสวมแว่นทำหน้างุนงง หยุดมีดแล้วหันมามองทางนี้
ชานอนเคี้ยวเนื้อต่อแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็อ้าปาก
[พี่ชาย จะฆ่าคนไมได้นะ]
ภายใต้แว่นตานั้นดวงตาก็เฉียบคบขึ้น ทำหน้าเคร่งขรึมขึ้น
ดูยังไงตอนนี้สีหน้าก็ราวโหดหลุดออกมาจากขุมนรก
อีกด้านหนึ่งชายผมฟ้าที่น่าจะเรียกได้ว่ารุ่นลุงยังคงโดยคว้าคอเสื้ออยู่กำลังขมวดคิ้วจนหน้าย่นแล้วทำหน้าน่าสมเพชมองชานอน
[ผมเองก็ไม่ได้อยากจะฆ่านะครับ แค่ทำความสะอาดเอง ถ้าไม่ยอมคืนเงินมาก็ต้องแบบนี้แหละครับ]
[คือว่าน้า ถ้าฆ่าทิ้งซะหมดเดี๋ยวก็ไม่มีใครมายืมเงินอีกเอานา?]
[ถ้ามันง่ายแบบนั้นพวกผมก็คงไม่ลำบากแบบนี้หรอกครับ ช่วยทำเป็นมองข้ามแล้วไปได้แล้วครับ]
ชายสวมแว่นคนนั้นถอนใจใส่แล้วหันไปเผชิญหน้ากลับชายผมฟ้า เพียงแต่ทั้งทีชายคนนั้นคิดว่าจะจบเพียงเท่านี้แล้วนั้น ชานอนกลับพูดออกมาต่อ
[ไม่เอาน่า เห็นขนาดนี้แล้วจะมองข้ามได้ยังไงกัน คุณลุงทางนั้นยืมไปเท่าไหร่เหรอ?]
[ส สามล้านหนึ่งแสน…]
ชายผมน้ำเงินพูดออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
[หวาย…เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย…!]
ใช้ไปทำอะไรกันนะ เงินพวกนี้เนี่ย
[ตะ ต้องเอาไปทำยาน่ะสิ…!]
[เป็นคำที่ไม่อยากฟังจริง ๆ นะครับ สุดท้ายก็ทำไม่เสร็จด้วยนี่]
แต่ชายคนนั้นกลับกล่าวคำออกมาแก้ความเข้าใจผิด
[ไม่จริง อีกแค่นิดเดียเองนะ! ถ้ามีจอมเวทสักคนนึงช่วยละก็…]
[จอมเวท?]
[เอ้อ! เขียนคำร้องไว้ที่การะดานข่าวแล้วด้วยนะ! ถ้ามีจอมเวทมาละก็ยาต้องสำเร็จแน่!]
สายสวมแว่นทำท่าประหลาดใจแล้วถอนหายใจออกมา
[ไม่รู้สึกเลยนะครับว่าถ้ามีจอมเวทแล้วจะช่วยอะไรได้]
[ผลข้างเคียงของยาคือใช้แล้วมีโอกาสจะเสียชีวิตได้…คิดว่าถ้ามีจอมเวทก็อาจจะทำอะไรได้ก็ได้นะ…!]
[ผลข้างเคียงที่ทำให้ตาย…!?]
วินาทีนั้นดวงตาของชานอนก็เปล่งประกาย
ผลข้างเคียงนี้อาจะเรียกได้ว่าไม่พึงปรารถนา แต่สำหรับชานอนแล้ว ถ้าบอกว่าสนใจยิ่งกว่าของกินก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
[ช่วงเทศกาลแบบนี้ยังไงก็ต้องมาจอมเวทมาสักคนแน่ ดังนั้นขอเวลาอีกหน่อย—-]
[เรื่องหลักลอยแบบนั้นมัน…]
[ค่า! ค่าค่า!]
ชานอนยกมือขึ้นแล้วส่งเสียงยกใหญ่
[มันหนวกหูนะครับ อยากตายเหรอ?]
[คือฉัน เป็นจอมเวทนะ]
[…หา?]
[จะ จริงงั้นเรอะ!?]
ชานอนพยักหน้าผมกับยิ้มให้ แต่ชายสวมแว่นกลับถอนหายใจใส่
[…ล้อเลียนผู้ใหญ่อยู่หรือไงครับ? ไม่มีทางจะปรากฏตัวออกมาประจวบเหมาะแบบนี้อยู่แล้วนี่ครับ]
[เอ๋ ไม่เชื่อกันเหรอ?]
ชานอนเอียงคอสงสัย น่าแปลเสียจริง ทั้งทีพยายามจะสะบัดเสื้อคลุมให้ดูแล้วแต่ชายสวมแว่นนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเธอเป็นจอมเวท
[เสื้อคลุม….นี่มันจอมเวทไม่ผิดแน่…! เธอคือ…]
[เพลาเรื่องเสียงดังกันหน่อยดีไหมครับ ผมไม่ชอบเรื่องไร้สาระน่ะครับ ไม่อยากจะดูอะไรที่เสียสายตาด้วย]
ชายสวมแว่นเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชานอน
ดูเหมือนสาวน้อยที่เอาแต่พูดถึงเรื่องเวทมนตร์อะไรนั่นจะทำให้เขารู้สึกรำคาญเอาเสียมาก
พอผลักชายผมน้ำเงินให้กระเด็นออกไปแล้วก็หันมาซัดหมัดใส่
[ช่วยหลับไปก่อนนะครับ]
หมัดตรงอันแสนรวดเร็วพุ่งเข้าไปหาชานอน
วินาทีนั้นเสียงตึกหนัก ๆ ก็ดังขึ้น
[…ย๊าก! อึก…]
[ทำกับเด็กผู้หญิงขนาดนี้เลย….เอ๋?]
ภาพที่เห็นว่าล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วคือชานอน—ไม่ใช่ ฝั่งที่ถูกจัดการได้คือผู้ชายต่างหาก
ชานอนเปลี่ยนท่าทางกลับไปยืนท่าเดิมแล้วปัดมือแปะ ๆ
[เฮ้อ จริง ๆ เลย เด็กผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวยังไงก็ต้องป้องกันตัวเองเป็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง แต่ก็ทำเอาตกใจนะเนี่ย]
[ป้องกันตัว..เดี๋ยว..ล้อกันเล่น…เรอะ!]
ชายคนนั้นกุมท้องอยู่บนพื้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
[หมัดนี่ฆ่าคนได้เลยนะ…จะป้องกัน…ได้ยังไงกัน!]
[อ๊ะ ต้องตบให้เจ็บด้วยเวทมนตร์เหรอ ถึงจะยอมเชื่อกัน]
พอพูดจบชานอนก็หยิบคฑาที่ยึดไว้กับต้นขาออกมาจ่อหัวชายคนนั้น
[คฑา…ของจอมเวท…]
[อื-ม เอาไงดีน้า บึ้มหัวให้แตกโพล๊ะไปเลยดีไหม?]
[!? ดะ เดี๋ย—]
[อ๊ะ หรือว่าจะให้ปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่เห็นอะไรในโลกมืด ๆ จะดีกว่าเหรอ…?]
[มะ ไม่เอานะ…! เดี๋ยวก่อน]
ชายสวมแว่นทำท่าทางตื่นตระหนกและหวาดกลัว ขาเริ่มสั่นราวกับเด็กแรกเกิดพร้อมกับพยายามจะเขยื้อนตัวเองถอยไปข้างหลัง
[ขะ เข้าใจแล้ว เรื่องเงินจะเว้นไปก่อนก็ได้ แต่ต้องคืนเงินจริง ๆ นะกริมม์…!]
พอจบคำพูดชายสวมแว่นก็วิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็ว ดูท่าแค่โดนจัดการแค่นี้ก็ทำให้เชื่อมากพอแล้วว่าชานอนอาจจะเป็นจอมเวทจริง ๆ ก็ได้ ชานอนถอนหายใจแล้วยื่นมือไปหาชายผมน้ำเงิน—กริมม์
[เป็นอะไรไหม? หวา เสื้อขาดหมดเลย]
[เอ่อ อะ ขะ…ขอบคุณ]
กริมทำหน้าเหมือนกับรู้สึกผิดแล้วจับมือของชานอน จากนั้นจึงลุกขึ้นมาและปัดฝุ่นพร้อมกับจัดปกคอเสื้อ เสร็จก็หันไปมองหาชายสวมแว่นคนนั้น
[เฮ้อ หนีไปซะแล้วเรอะ ไอพวกอันธพาลเอ๊ย อย่ากลับมาอีกนะ!]
กริมม์ขมวดคิ้วแล้วสบถคำหลากหลายออกมา
[เอ๋…อย่างจอก! พอไม่อยู่ปุ๊บก็กร่างเลยนะ?]
[ฮึ่ม!]
[…]
ชานอนรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อยที่ไปช่วยเอาไว้จึงยักไหล่ด้วยความประหลาดใจ
[แรกเริ่มเดิมที คนที่ยืมไม่คืนมันคุณไม่ใช่เหรอ ต้นตอปัญหาเลยนี่]
[ไม่ ไม่ใช่! แต่ก็ใช่อยู่หรอก…แต่งานวิจัยของฉันมันสำคัญนะ! ทุกวันนี้แม้แต่จะนอนยังทรมาณ…ต้องรีบทำยาให้เสร็จให้ได้]
กริมม์ก้มหน้าด้วยความเศร้าโศก ตรงกันข้ามกับลักษณะที่ดูโกรธเกรี้ยวนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่จริงใจอยู่ ดูท่าทางว่าเรื่องที่สร้างยามาเพื่อจะช่วยเหลือผู้คนจะเป็นของจริง ถึงบุคคลิกจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่เหมือนจะไม่ใช่คนเลว
[นี่ ยาของคุณกริมม์ที่ว่าผลข้างเคียงแรงนี่จริงเหรอ?]
[อื๋อ? เอ้อ ได้ทดลองกับหนูดูน่ะ ก็จะมีอาการชักกระตุก อาเจียนแล้วก็ท้องเสียรุนแรงจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาก็จะได้ไปเฝ้าพระเจ้าแล้ว ทำเอากลัวเลยว่าจริง ๆ แล้วอาจจะถนัดสร้างยาพิษมากกว่า แบบว่ามือขึ้นน่ะ]
[เฝ้าพระเจ้า…ดีจัง]
ชานอนทำตาเป็นประกาย ยาที่มีผลข้างเคียงคือทำให้ตาย มีผลเสียเช่นนั้น
[ดีจังเนี่ย…ทางนี้ไม่เห้นรู้สึกเลยนะว่ามีอะไรดี?]
[เอาน่า นี่ ฉันเองก็เป็นจอมเวทเดี๋ยวจะช่วยเองนะ]
ค่า ๆ เป็นแม่มดค่าเดี๋ยวช่วยเอง ทันใดนั้นกริมม์ก็ปรบมือเหมือนเพิ่งนึกออก
[จริงด้วย จริงด้วยสิ! เรื่องที่เป็นจอมเวทนี่ของจริงสินะ!?]
เพื่อไขข้อข้องใจให้กริมม์ ชานอนจึงยิ้มให้แล้วพยักหน้า จากนั้นก็ยกนิ้วให้
[จริงจ้า]
[โชคดีจริงเนี่ย…! ฉันจะจ่ายให้อย่างงามเลย เป็นเงินที่ยืมมาอาจจะเจ็บปวดที่ต้องจ่ายก็จริง…แต่ก็ถอยไม่ได้แล้ว ฉันชื่อกริมม์เป็นคุสึชิ* ที่อยู่เมืองนี้น่ะ]
[ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชานอน]
[ชานอนสินะ ฝากตัวด้วย งั้นช่วยตามมาเลยได้ไหม อยากให้เห็นคนไข้เลยแล้วก็จะได้อธิบายสถานการณ์ต่อได้เลยน่ะ]
TL: 薬師 (kusushi) หมายถึงหมอยาของญี่ปุ่นในสมัยก่อนที่จะมีเภสัชกรครับ
Chapters
Comments
- ตอนที่ 3.3 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 3 มิถุนายน 7, 2023
- ตอนที่ 3.2 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 2 มิถุนายน 6, 2023
- ตอนที่ 3.1 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 1 มิถุนายน 6, 2023
- ตอนที่ 2.3 โอเวอร์โดส 3 มิถุนายน 4, 2023
- ตอนที่ 2.2 โอเวอร์โดสค่ะ 2 มิถุนายน 2, 2023
- ตอนที่ 2.1 โอเวอร์โดสค่ะ 1 มิถุนายน 2, 2023
- ตอนที่ 1.3 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 3 มิถุนายน 1, 2023
- ตอนที่ 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2 พฤษภาคม 31, 2023
- ตอนที่ 1.1 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 1 พฤษภาคม 31, 2023
- ตอนที่ 0 บทนำ พฤษภาคม 31, 2023
MANGA DISCUSSION